ลับ!! ร.อ.วัชรชัย ผู้ลอบปลงพระชนม์ ร.๘
ได้มีโอกาสเจอคุณลุงท่านหนึ่ง ที่เป็นคนในครอบครัวของ ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร หรือฉายา " หมอสปัสซั่ม " ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ชันสูตรพลิกพระศพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ท่านเป็นหมอที่ยืนยันว่านอกจากจะมีการลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธปืน " พาราเบลลั่ม(Parabellum) "แล้ว ยังมีการวางยาในหลวง วางยาต้นห้อง
คุณลุงนั่งกินหมูกระทะกับผมโดยบังเอิญ ที่หน้าสถานีวิหคเรดิโอ เชียงใหม่ เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพราะท่านมาวันเกิดลูกของน้องชายผม เลยคุยกับแบบถูกคอเรื่องบ้านเมือง ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณลุงเล่าให้ฟังเรื่องการลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ว่า ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร ผู้เป็นบิดา จะไปเป็นพยานในศาลคดีลอบปลงพระชนม์ ปรีดีได้มาเจรจา เพื่อให้ยอมไปให้ปากคำว่า เป็นการปลงพระชนม์ตัวเอง โดยยื่นสินบนด้วยคำพูดว่า "จะเปิดคลังหลวงให้และให้เอากระเป๋าไป ๒ ใบ ใส่เงินเท่าที่ใส่ได้ ให้ไปกินอยู่ตลอดชีวิต แค่อย่าให้ปากคำกับศาลว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์"
ในสมัยนั้นถ้าใครไม่ยอมทำตาม ก็จะมี "เก๋งดำ" หรือรถยนต์เก๋งสีดำ มาจอดหน้าบ้าน นั่นหมายถึงว่าตายทุกราย จนข่าวนี้โด่งดั่ง เกิดข่าวลือว่า ศ.น.พ.ชุบ ตายแล้ว อันที่จริง ศ.น.พ.ชุบ ได้จ้างทหารมาเป็นยาม ถือปืนลูกซองอยู่ในบ้าน ใครเข้ามา "ยิงทิ้งทันที" จากนั้นก็ไปให้ปากคำกับศาลยืนยันว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์จริง ระบุว่าในการตรวจพระศพยังพบว่ามีการ "ลอบวางยา" ต้นห้องของในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในพระวรกายของพระองค์ท่านยังพบว่า มีการพบ "น้ำมันละหุ่ง" ในปริมาณมากผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการ "มึนงง" ก่อนการลอบปลงพระชนม์
คำว่าหมอ "สปัสซั่ม" สื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ให้ฉายา กับ ศ.น.พ.ชุบ เพราะคำให้การที่อธิบายถึงคนที่จะยิงตัวตายได้ จะต้องมีอาการเกร็ง หรือ "สปัสซั่ม(Spasm)" แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไม่มีพระอาการดังกล่าว นั่นยิ่งแน่ชัดว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ที่ ศ.น.พ.ชุบไม่ให้ปากคำตามที่นายปรีดีต้องการ เพราะท่านได้ทุนเจ้าฟ้าฯเรียนในประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี มีพี่น้องคือ
๑. หลวงประเสริฐไมตรี โชติกเสถียร
๒. พลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร สมุหราชองครักษ์-องคมนตรี
๓. ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร
๔. ท่านผู้หญิงศิริ สารสิน เป็นบุตรของ ทูตพระสัมผกิจปรีชา โชติกเสถียร และคุณหญิงฉลวย โชติกเสถียร ซึ่งพลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร คือ สมุหราชองครักษ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯให้เป็น "องคมนตรี"
โดยได้รับใช้ดูแลในหลวงรัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ พระพี่นางฯ สมเด็จย่า มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กในประเทศไทยตอนยังไม่ได้ครองราชบัลลังก์ ก่อนเสด็จฯไปประเทศสวิส ทำให้ ตระกูล "โชติกเสถียร" มีความใกล้ชิดและจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีเป็นอย่างมาก พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคณะราษฎรยึดอำนาจกันเอง ทำให้นายปรีดีหมดอำนาจ จากฝีมือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชีวิตของ ศ.น.พ.ชุบ จึงรอดเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ และได้ก่อตั้งโรงพยาบาล หน่วยแพทย์อาสา จนสิ้นอายุขัยด้วยวัยชรา
ลุงตั้งข้อสงสัยว่าทำไมสำหรับ ใจ อึ้งภากรณ์ ลูก ดร.ป๋วย มาใส่ร้ายโจมตีรัชกาลที่ ๙ กล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์นั้น ผมอธิบายกับคุณลุงนิต ตามหลักยุทธศาสตร์การเมืองว่า เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะทั้ง ดร.ป๋วย ทั้ง ใจ เป็นฝ่ายซ้ายนิยมในคอมมิวนิสต์ แม้ ดร.ป๋วย จะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ แต่ก็ไม่นิยมเจ้าจึงเป็นพรรคพวกเดียวกับอำมาตย์ตรีปรีดี การปล่อยข่าวทำลายสถาบันกษัตริย์ เป็นหลักในการล้มล้างการปกครองในประเทศฝรั่งเศส ที่จะปล่อยข่าวทำลายราชวงศ์ก่อนที่จะมีการโค่นล้ม โดยมีรากเหง้ามาตั้งแต่ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นนครรัฐกรีกโบราณ ช่วงศตวรรษที่ ๕ ก่อนคริสตกาล ยุคเมโสโปเตเมีย(Mesopotamia) ฟินิเซีย(Phoenician)และอินเดีย(India) ที่มีนักปราชญ์ที่รู้จักกันในนาม "เพลโต้" democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" หลังการลอบปลงพระชนม์สมัยนั้น
คดีลอบปลงพระชนม์ ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจจอมพล ป. สำเร็จ โดยถือหลักคิดโจโฉ ถือธงนำหน้า ปกป้องพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนวาทกรรมที่ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ที่มีการประกาศในโรงภาพยนตร์สมัยนั้น เกิดจากประชาชนที่อดรนทนไม่ไหว กับการยึดครองอำนาจของคณะราษฎร เกิดการทุจริต คอร์รัปชัน(corruption) เข่น ฆ่าประชาชน ฆ่ารัฐมนตรี รัฐประหารกันเองหลายสิบครั้ง ปลงพระชนม์ในหลวง ต่างหาก
แต่ฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเอามาโจมตีว่าเป็นฝีมือของ “พรรคประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นโดย นายควง อภัยวงศ์ พระอนุชาของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ โดยเจตนาโจมตีป้ายสีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์ ให้เกิดเป้าหมายสูงสุด คือ ปลุกให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกฮือเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนที่เกิดในฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ
|